การใช้ Search Engine

1.ความหมาย Search Engine

Search Engine   คือ อะไร
     Search Engine   คือ เครื่องมือการค้นหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต ที่ทุกคนสามารถเข้าไปค้นหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตก็ได้ โดยกรอกข้อมูลที่ต้องการค้นหา หรือ Keyword (คีย์เวิร์ด) เข้าไปที่ช่อง Search Box แล้วกด Enter แค่นี้ข้อมูลที่เราค้นหาก็จะถูกแสดงออกมาอย่างมากมายก่ายกอง เพื่อให้เราเลือกข้อมูลตรงกับความต้องการที่สุดเอามาใช้งาน  โดยลักษณะการแสดงผลของ Search Engine นั้นจะทำการแสดงผลแบบ เรียงอันดับ Search Results ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเรา
     ตัวอย่าง Search Engine ที่มีชื่อเสียงทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เช่น sanook.com, siamguru.com, google.com, yahoo.com, msn.com, altavista.com, search.com เป็นต้น


  

หลักการค้นหาข้อมูลของ Search Engine     สำหรับหลักในการค้นหาข้อมูลของ Search Engine แต่ละตัวจะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าทางศูนย์บริการต้องการจะเก็บข้อมูลแบบไหน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีกลไกใน การค้นหาที่ใกล้เคียงกัน หากจะแตกต่างก็คงจะเป็นเรื่องประสิทธิภาพเสียมากกว่า ว่าจะมีข้อมูล เก็บรวบรวมไว้อยู่ในฐานข้อมูลมากน้อยขนาดไหน และพอจะนำเอาออกมาบริการให้กับผู้ใช้ ได้ตรงตามความต้องการหรือเปล่า ซึ่งลักษณะของปัจจัยที่ใช้ค้นหาโดยหลักๆจะมีดังนี้   
   

2.วัตถุประสงค์ Search Engine

     1. การค้นหาจากชื่อของตำแหน่ง URL ใน เว็บไซต์ต่างๆ
     2. การค้นหาจากคำที่มีอยู่ใน Title (ส่วนที่ Browser ใช้แสดงชื่อของเว็บเพจอยู่ทางด้านซ้ายบน              ของหน้าต่างที่แสดง) 
     3. การค้นหาจากคำสำคัญหรือคำสั่ง keyword (อยู่ใน tag คำสั่งใน html ที่มีชื่อว่า meta)
     4. การค้นหาจากส่วนที่ใช้อธิบายหรือบอกลักษณะ site
     5. ค้นหาคำในหน้าเว็บเพจด้วย Browser    ซึ่งการค้นหาคำในหน้าเว็บเพจนั้นจะใช้สำหรับกรณีที่คุณเข้าไปค้นหาข้อมูลที่เว็บเพจใด เว็บเพจหนึ่ง แล้วภายในมีข้อความปรากฏอยู่เต็มไปหมด จะนั่งไล่ดูทีละบรรทัดคงไม่สะดวก ในลักษณะนี้เราใช้ browser ช่วยค้นหาให้  ขั้นแรกให้คุณนำ mouse ไป click ที่ menu Edit แล้วเลือกบรรทัดคำสั่ง Find in Page หรือกดปุ่ม Ctrl + F ที่ keyboard ก็ได้ จากนั้นใส่คำที่ต้องการค้นหาลงไปแล้วก็กดปุ่ม Find Next โปรแกรมก็จะวิ่งหาคำดังกล่าว หากพบมันก็จะกระโดดไปแสดงคำนั้นๆ ซึ่งคุณสามารถกดปุ่ม Find Next เพื่อค้นหาต่อได้ อีกจนกว่าคุณจะพบข้อมูลที่ต้องการ 
     
Search Engine แต่ละตัวมีข้อดีในการสืบค้นและวิธีการในการสืบค้นที่แตกต่างกัน ตลอดจนมีการจัดทำส่วนพิเศษต่างๆ ในการสืบค้นเพื่อช่วยผู้ใช้  และเพื่อให้ผู้ใช้สามารถสืบค้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ใช้ควรมีความรู้เกี่ยวกับการค้นหา ดังนี้ คือ


3.ประเภทของSearch Engine  

ทำไมเราต้องทำความรู้จักกับประเภทของ Search Engine หากคุณเกิดคำถามนี้ขึ้นในใจ นั่นหมายความว่า คุณยังไม่รู้จัก การ Search Engine ดีพอ เพราะวิธีการ และการจัดเก็บข้อมูลของแต่ละ Search Engine แตกต่างกันไปตามแต่ประเภทของ Search Engine ที่แต่ละเว็บไซต์นำมาใช้เก็บรวบรวมข้อมูล
โดย Search Engine มี3ประเภทด้วกัน ซึ่งแต่ละประเภทมีหลักการทำงานที่ต่างกัน และ การจัดอันดับการค้นหาข้อมูลก็ต่างกันด้วย
เพราะมีลักษณะการทำงานที่ต่างกัน ทำให้ โดยทั่ว ๆ ไปแล้วจะมีการแบ่งออกเป็นหลาย ๆ  ประเภทด้วยกัน แต่ที่พอสรุปได้ก็มีเพียง3 ประเภทหลัก ๆ ดังต่อไปนี้
    ประเภทที่ 1 Crawler Based Search Engines
    Crawler Based Search Engines คือ เครื่องมือการค้นหาบนอินเตอร์เน็ตแบบอาศัยการ
    บันทึกข้อมูล และ จัดเก็บข้อมูลเป็นหลัก ซึ่งจะเป็นจำพวก Search Engine ที่ได้รับความ
    นิยมสูงสุด เนื่องจากให้ผลการค้นหาแม่นยำที่สุด และการประมวลผลการค้นหาสามารถทำ
    ได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้มีบทบาทในการค้นหาข้อมูลมากที่สุดในปัจจุบัน
    โดยมีองประกอบหลักเพียง 2 ส่วนด้วยกันคือ
    1. ฐานข้อมูล โดยส่วนใหญ่แล้ว Crawler Based Search Engine เหล่านี้จะมีฐานข้อมูลเป็น
    ของตัวเอง ที่มีระบบการประมวลผล และ การจัดอันดับที่เฉพาะ เป็นเอกลักษณ์ของตนเองอย่างมาก
    2. ซอฟแวร์ คือเครื่องมือหลักสำคัญที่สุดอีกส่วนหนึ่งสำหรับ Serch Engine ประเภทนี้
    เนื่องจากต้องอาศัยโปรแกรมเล็ก ๆ (ชนิดที่เรียกว่า จิ๋วแต่แจ๋ว) ทำหน้าที่ในการตรวจหา
    และ ทำการจัดเก็บข้อมูล หน้าเพจ หรือ เว็บไซต์ต่าง ๆ ในรูปแบบ ของการทำสำเนาข้อมูล
    เหมือนกับต้นฉบับทุกอย่าง ซึ่งเราจะรู้จักกันในนาม Spider หรือ Web Crawler หรือ Search Engine Robots
    ตัวอย่างหนึ่งของ Crawler Based Search Engine ชื่อดัง http://www.google.com
    Crawler Based Search Engine ได้แก่ Google , Yahoo, MSN, Live, Search, Technorati (สำหรับ blog) ส่วนลักษณะการทำงาน และ การเก็บข้อมูงของ Web Crawler หรือ Robot หรือ Spider นั้นแต่ละแห่งจะมีวิธีการเก็บข้อมูล และการจัดอันดับข้อมูลที่ต่างกัน
    ประเภทที่ 2 Web Directory หรือ Blog Directory
    Web Directory หรือ Blog Directory คือ สารบัญเว็บไซต์ที่ให้คุณสามารถค้นหาข่าวสารข้อมูล ด้วย
    หมวดหมู่ข่าวสารข้อมูลที่เกี่ยวข้องกัน ในปริมาณมาก ๆ คล้าย ๆ กับสมุดหน้าเหลืองครับ ซึ่งจะมี
    การสร้าง ดรรชนี มีการระบุหมวดหมู่ อย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้การค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ตาม
    หมวดหมู่นั้น ๆ ได้รับการเปรียบเทียบอ้างอิง เพื่อหาข้อเท็จจริงได้ ในขณะที่เราค้นหาข้อมูล
    เพราะว่าจะมีเว็บไซต์มากมาย หรือ Blog มากมายที่มีเนื้อหาคล้าย ๆ กันในหมวดหมู่เดียวกัน ให้เรา
    เลือกที่จะหาข้อมูลได้ อย่างตรงประเด็นที่สุด (ลดระยะเวลาได้มากในการค้นหา) ซึ่งผมจะขอ
    ยกตัวอย่างดังนี้
    ODP Web Directory ชื่อดังของโลก ที่มี Search Engine มากมายใช้เป็นฐานข้อมูล Directory
    1.ODP หรือ Dmoz ที่หลายๆ คนรู้จัก ซึ่งเป็น Web Directory ที่ใหญ่ที่สุดในโลก Search Engine
    หลาย ๆ แห่งก็ใช้ข้อมูลจากที่แห่งนี้เกือบทั้งสิ้น เช่น Google, AOL, Yahoo, Netscape และอื่น ๆ อีก
    มากมาย ODP มีการบันทึกข้อมูลประมาณ 80 ภาษาทั่วโลก รวมถึงภาษาไทยเราด้วยครับ
    (URL : http://www.dmoz.org )
    2. สารบัญเว็บไทย SANOOK ก็เป็น Web Directory ที่มีชื่อเสียงอีกเช่นกัน และเป็นที่รู้จักมากที่สุด
    ในเมืองไทย (URL : http://webindex.sanook.com )
    3. Blog Directory อย่าง BlogFlux Directory ที่มีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับบล็อกมากมายตามหมวดหมู่
    ต่าง ๆ หรือ Blog Directory อื่น ๆ ที่สามารถหาได้จาก Make Many แห่งนี้ครับ
    ประเภทที่ 3 Meta Search Engine
    Meta Search Engine คือ Search Engine ที่ใช้หลักการในการค้นหาโดยอาศัย Meta Tag ในภาษา
    HTML ซึ่งมีการประกาศชุดคำสั่งต่าง ๆ เป็นรูปแบบของ Tex Editor ด้วยภาษา HTML นั่นเองเช่น
    ชื่อผู้พัฒนา คำค้นหา เจ้าของเว็บ หรือ บล็อก คำอธิบายเว็บหรือบล็อกอย่างย่อ
    ผลการค้นหาของ Meta Search Engine นี้มักไม่แม่นยำอย่างที่คิด เนื่องจากบางครั้งผู้ให้บริการหรือ
    ผู้ออกแบบเว็บสามารถใส่อะไรเข้าไปก็ได้มากมายเพื่อให้เกิดการค้นหาและพบเว็บ หรือ บล็อกของ
    ตนเอง และ อีกประการหนึ่งก็คือ มีการอาศัย Search Engine Index Server หลายๆ แห่งมากประมวลผลรวมกัน จึงทำให้ผลการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ไม่เที่ยงตรงเท่าที่ควร.
    อ้างอิงจาก

4.การใช้งาน Search Engine

 1.       วิธีการใช้ Search Engine แต่ละเว็บไซต์
     Search Engine แต่ละตัวจะมีส่วนช่วยในการอธิบายวิธีใช้ในส่วนที่เรียกว่า Help หรือ
About  เช่น  Yahoo   มีวิธีกำหนดคำค้นเพื่อให้ได้ผลค้นที่เฉพาะเจาะจงหรือตรงต่อความต้องการ โดย
          1.1    ใช้เครื่องหมายดอกจันทร์ (*) เพื่อค้นหาคำที่มีการสกดคล้ายกัน เช่น smok*
หมายความว่า ให้ค้นหาคำทั้งหมดที่ขึ้นด้วย 5 ตัวอักษรแรก เช่น smoke smoker เป็นต้น
          1.2    ใช้เครื่องหมาย + สำหรับกำหนดให้แสดงผลการค้นเฉพาะเว็บไซต์ ที่ปรากฏ
คำทั้งสองคำ เช่น Secondary + education
          1.3  ใช้เครื่องหมาย  “    ”  สำหรับการค้นหาคำที่เป็นวลี เช่น  “great barrier reaf”
ฯลฯ
     2.       การใช้ตรรกบูลีน  (Boolean Logic)
เพื่อให้สามารถกำหนดการค้นหาที่แคบเข้ามา โดยใช้คำ  AND  OR  NOT เข้าช่วยในการ
กำหนดคำค้น เพื่อให้สามารถค้นหาได้อย่างเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น
          2.1     การใช้ AND
          การกำหนดใช้ AND จะใช้เมื่อต้องการกำหนดให้ค้นรายการที่ปรากฏคำที่มีความเกี่ยว
ข้องกัน ในรายการเดียวกัน เช่น water and soil
          การกำหนดแบบนี้หมายความว่า
               1.       ผลการค้นต้องการ คือ เฉพาะรายการที่มีคำว่า water  และ soil เท่านั้น
               2.       หากรายการใดที่มีแต่คำว่า  water  หรือ soil ไม่ต้องการ
          2.2  การใช้คำว่า OR
          การใช้ OR เป็นการขยายคำค้น โดยกำหนดคำหลายที่เห็นว่ามีความหามายคล้ายกัน
หรือสามารถสะกดได้หลายแบบ
          2.3  การใช้ NOT
     การใช้ NOT จะใช้ในเมื่อต้องการจำกัดการค้นเข้ามา คือไม่ต้องการรายการที่มีเนื้อหา
ส่วนที่ไม่ต้องการปรากฏอยู่  โดยกำหนดให้ตัดคำที่ไม่ต้องการออกเช่น water not soil
          การกำหนดคำแบบนี้ หมายถึง
               1.       ให้ค้นหารายการที่มีคำว่า water แต่หากรายการใดมีคำว่า soil อยู่ด้วย ไม่ต้องการ
               2.       ผลสืบค้นที่ได้ทุกรายการที่มีคำว่า water และหากมีคำว่าSoil ให้คัดออกทุกรายการ

5.ประโยชน์ Search Engine

   1. ประหยัดเวลา :: อย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่า มีทุกอย่างอยู่ในอินเทอร์เน็ต ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมีวิธีการ
ค้นหาและนำมาใช้ได้อย่างไร โดยไม่ต้องเสียเวลาไปเสาะหาข้อมูลจากแหล่งความรู้จริง เช่นห้องสมุด
หนังสือ วารสาร หรือจากบุคคลผู้รู้อื่น ๆ 
2. ได้ข้อมูลครบถ้วน :: เนื่องจากการสืบค้นข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตนั้น เราสามารถสืบค้นข้อมูล
ได้อย่างหลากวิธีแบบ เช่น ข้อมูลข้อความ ข้อมูลรูปภาพ ข้อมูลมัลติมีเดีย หรืออื่น ๆ
ในเนื้อหาหนึ่ง ๆ ก็สามารถนำข้อมูลที่หลากหลายรูปแบบมาอ้างอิงได้อย่างหลากหลาย
 3. มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน :: ชุมชนในการเรียนรู้บนอินเทอร์เน็ตนั้น เป็นชุมชนที่
มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกัน ในลักษณะให้ฟรี หรือมีค่าใช้จ่ายบ้าง ถ้าหากเรามีการแลกเปลี่ยน
ข้อมูลระหว่างกัน ย่อมทำให้การค้นหาข้อมูลที่สำคัญมีความหลากหลายมากขึ้น แหล่งที่สามารถ
สืบค้นข้อมูลได้ ได้แก่ เว็บไซต์ที่ให้บริการข้อมูลต่าง ๆ หรือ เว็บไซต์ที่มีเว็บบอร์ดเพื่อแลกเปลี่ยน
ข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน เป็นต้น

     ในโลกยุคอินเทอร์เน็ทในปัจจุบันนี้มีข้อมูลมากมายมหาศาล การที่จะค้นหาข้อมูลจำนวนมากมาย  อย่างนี้เราไม่อาจจะคลิก เพื่อค้นหาข้อมูลพบได้ง่ายๆ จำเป็นจะต้องอาศัยการค้นหาข้อมูลด้วยเครื่องมือค้นหา ที่เรียกว่า Search Engine เข้ามาช่วยเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว เว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหา   ข้อมูลมีมากมายหลายที่ทั้งของคนไทยและต่างประเทศ ความหมาย/ประเภท ของ Search Engine การค้นหาข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าเราเปิดไปทีละหน้าจออาจจะต้องเสีย เวลาในการค้นหา และอาจหาข้อมูลที่เราต้องการไม่พบการที่เราจะค้นหาข้อมูลให้พบอย่างรวดเร็วจะต้องใช้เว็บไซต์สำหรับการ ค้นหาข้อมูลที่เรียกว่า Search Engine Site ซึ่งจะทำหน้าที่รวบรวมรายชื่อ เว็บไซต์ต่างๆ เอาไว้โดยจัดแยกเป็นหมวดหมู่ ผู้ใช้ งานเพียงแต่ทราบหัวข้อที่ต้องการค้นหาแล้วป้อน คำ
หรือข้อความของหัวข้อนั้นๆ ลงไปในช่องที่ กำหนด Search Engine แต่ละ แห่งมีวิธีการและการจัดเก็ฐานข้อมูลที่แตกต่างกันไปตามประเภท ของ Search Engine
ที่แต่ละเว็บไซต์นำมาใช้เก็บรวบรวม ข้อมูลดังนั้น การที่จะเข้าไปหาข้อมูลหรือเว็บไซต์ โดยวิธีการ Search นั้น อย่างน้อย
จะต้องทราบว่า เว็บไซต์ที่เข้าไปใช้บริการ ใช้ วิธีการหรือ ประเภทของ Search Engineอะไร เนื่องจากแต่ละประเภทมีความละเอียดในการจัดเก็บข้อมูลต่างกันไป การเลือกใช้เครื่องมือในการค้นหาจะต้องเข้าใจว่า ข้อมูลที่ต้องการค้นหานั้นมีลักษณะอย่างไรมีขอบข่ายกว้างขวาง หรือแคบขนาดไหน แล้ว จึงเลือกใช้เว็บไซต์ค้นหาที่ให้บริการตรงกับความต้องการของเรา

ระโยชน์ของ Search Engine (เพิ่มเติม)
  เครื่องมือที่ช่วยในการค้นหา (Search Engine) มีประโยชน์อย่างมากต่อผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตทั่วไป เนื่องจากข้อมูลข่าวสารบนโลกอินเตอร์เน็ตมีมากมายมหาศาล และเมื่อผู้ใช้ต้องการข้อมูลสารสนเทศใดๆ จึงจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่ช่วยในการค้นหา เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลสารสนเทศที่ผู้ใช้งานต้องการ หรือสรุปได้ดังนี้
  • ค้นหาเว็บที่ต้องการได้สะดวก รวดเร็ว
  • สามารถค้นหาแบบเจาะลึกได้ ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพ, ข่าว, MP3 และอื่นๆ อีกมากมาย
  • สามารถค้นหาจากเว็บไซต์เฉพาะทาง ที่มีการจัดทำไว้ เช่น download.com เว็บไซต์เกี่ยวกับ
    ข้อมูลและซอร์ฟแวร์ เป็นต้น
  • มีความหลากหลายในการค้นหาข้อมูล
  • รองรับการค้นหา ภาษาไทย




อ้างอิงจาก

พ.ร.บ.ควมคุมเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550

เขียนโดย สุพิชัย คุณพรม
1.ความเป็นมาของ พรบ. คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550
 ระบบอินเทอร์เน็ตกลายเป็นช่องทางหลักในการติดต่อสื่อสารทั้งภายในประเทศและต่างประเทศมีผู้ใช้งานหลายพันล้านคนทั่วโลก ทั้งที่ใช้งานไปในทางที่ถูกต้องแต่ก็มีบางรายใช้งานไปในทางไม่เหมาะสม เผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงให้ร้ายผู้อื่นทำให้เสื่อมเสียชื่่อเสียง ส่งผลกระทบทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ ความมั ่นคงศีลธรรม จรรยาบรรณต่างๆ
เป็นที่มาของกฎหมายทางด้านคอมพิวเตอร์ที่ประกอบไปด้วย
ส่วนต่างๆ ได้แก่ กำหนดหน้าที่ผู้ให้บริการ ผู้ใช้บริการ การเชื่อมต่อทางอินเทอร์เน็ต บริการเช่าพื้นที่ ให้บริการติดต่อสื่อสาร การบริการโปรแกรมคอมพิวเตอร์
 ในกรณีผู้ให้บริการก็ต้องมีนโยบายที่ชัดเจนต้องไม่ผิดกฎหมายศีลธรรม สามารถรักษาความลับของข้อมูลที่มีการส่งผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของผู้ให้บริการ
 การติดต่อสื่อสารทางอินเทอร์เน็ตก็จำเป็นต้องมีการรักษาความปลอดภัย ปกปิดความลับของผู้ใช้บริการ โดยผู้ให้บริการสามารถตรวจสอบข้อมูลการติดต่อสื่อสารทางอินเทอร์เน็ตของผู้ใช้บริการ
ได้ด้วยเช่นกัน พรบ.จะกำหนดบรรทัดฐานความผิด บทลงโทษ หน้าที่ของพนักงานและผู้ให้บริการ


2 ความสำคัญ
     ในปัจจุบันการติดต่อสื่อสารผ่านระบบคอมพิวเตอร์หรือระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้เข้ามามีบทบาท และ ทวีความสําคัญเพิ่มขึ้นตามลําดับต่อระบบเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศไทยแต่ในขณะเดียวกันการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ก็มีแนวโน้มขยายวงกว้างและทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นด้วย ดังนั้น ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์นับเป็นพยานหลักฐานสําคัญในการดําเนินคดีอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการสืบสวน สอบสวน เพื่อนําตัวผู้กระทําความผิดมาลงโทษ ใน พรบ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์จึงสมควรกําหนดให้ผู้ให้บริการมีหน้าที่ในการเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ดังกล่าวจากการประกาศใช้พรบ. ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ. 2550 ที่มีผลบังคับใช้แล้ว ตั้งแต่วันพุธที่ 18 กรกฎาคม 2550 ทําให้หลายองค์กรทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต้องมีการปรับตัวครั้งใหญ่เนื่องจากมาตรา 26 ใน พรบ. ได้กล่าวไว้ว่า “ผู้ให้บริการต้องเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้ไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน นับแต่วันที่ข้อมูลนั้นเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์แต่ใน
กรณีจําเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่จะสั่งให้ผู้ให้บริการผู้ใดเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้เกิน
เก้าสิบวันแต่ไม่เกินหนึ่งปีเป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายและเฉพาะคราวก็ได้ผู้ให้บริการจะต้องเก็บรักษา
ข้อมูลของผู้ใช้บริการเท่าที่จําเป็นเพื่อให้สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการ นับตั้งแต่เริ่มใช้บริการและต้องเก็บ
รักษาไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว้าเก้าสิบวันนับตั้งแต่การใช้บริการสิ้นสุดลง ความในวรรคหนึ่งจะใช้กับผู้ให้
บริการประเภทใด อย่างไรและเมื่อใด ให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ผู้ให้บริการผู้ใดไม้ปฏิบัติตามมาตรานี้ต้องระวางโทษปรับไม้เกินห้าแสนบาท” ทําให้หลายคนเกิดความ
สงสัยว่าองค์กรของตนถือเป็น “ผู้ให้บริการ” หรือไม่และการจัดเก็บข้อมูลจราจรคอมพิวเตอร้ดังกล่าว
นั้นหมายถึงข้อมูลอะไรบ้าง ควรมีการจัดเก็บแบบใดถึงจะถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของ พรบ. โดยที่
องค์กรแต่ละองค์กรมีลักษณะการใช้ระบบสารสนเทศที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงควรมีการแนวทาง หรือ
”Guideline” ในการจัดเก็บข้อมูลจราจรคอมพิวเตอร์ให้ถูกต้องและเหมาะสมกับลักษณะการใช้ระบบ
สารสนเทศหรือระบบอินเทอร์เน็ตของแต่ละองค์กรที่มีความแตกต่างกันค่อนข้างมากรวมทั้งร้าน

3.ประโยชน์
มีการกำหนดโทษของ "ผู้ให้บริการ" ซึ่งหมายถึงผู้ที่ให้บริการแก่บุคคลอื่นในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ต หรือให้บริการเก็บรักษาข้อมูลคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากว่า การพยายามเอาผิดผู้ให้บริการซึ่งถือเป็น "ตัวกลาง" ในการสื่อสาร จะส่งผลต่อความหวาดกลัวและทำให้เกิดการเซ็นเซอร์ตัวเอง อีกทั้งในแง่ของกฎหมายคำว่าผู้ให้บริการก็ตีความได้อย่างกว้างขวาง คือแทบจะทุกขั้นตอนที่มีความเกี่ยวข้องในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารก็ล้วนเป็นผู้ให้บริการทั้งสิ้น

         สำหรับร่างฉบับใหม่ที่เพิ่มนิยามคำว่า "ผู้ดูแลระบบ" ขึ้นมานี้ อาจหมายความถึงเจ้าของเว็บไซต์ เว็บมาสเตอร์ แอดมินระบบเครือข่าย แอดมินฐานข้อมูล ผู้ดูแลเว็บบอร์ด บรรณาธิการเนื้อหาเว็บ เจ้าของบล็อก ขณะที่ "ผู้ให้บริการ" อาจหมายความถึงผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต

         ตามร่างกฎหมายนี้ ตัวกลางต้องรับโทษเท่ากับผู้ที่กระทำความผิด เช่น หากมีการเขียนข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริง กระทบกระเทือนต่อความมั่นคง ผู้ดูแลระบบและผู้ให้บริการที่จงใจหรือยินยอมมีความผิดทางอาญาเท่ากับผู้ที่กระทำความผิด และสำหรับความผิดต่อระบบคอมพิวเตอร์ เช่น การเจาะระบบ การดักข้อมูล หากผู้กระทำนั้นเป็นผู้ดูแลระบบเสียเอง จะมีโทษ 1.5 เท่า ของอัตราโทษที่กำหนดกับคนทั่วไป

4.สาระ พ.ร.บ.
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมาย ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐”
“ข้อมูลคอมพิวเตอร์” หมายความว่า ข้อมูล ข้อความ คำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใดบรรดาที่อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ในสภาพที่ระบบคอมพิวเตอร์อาจประมวลผลได้ และให้หมายความรวมถึงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วย
“ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์” หมายความว่า ข้อมูลเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารของระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งแสดงถึงแหล่งกำเนิด ต้นทาง ปลายทาง เส้นทาง เวลา วันที่ ปริมาณ ระยะเวลาชนิดของบริการ หรืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการติดต่อสื่อสารของระบบคอมพิวเตอร์นั้น
“ผู้ให้บริการ” หมายความว่า
(๑) ผู้ให้บริการแก่บุคคลอื่นในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ต หรือให้สามารถติดต่อถึงกันโดยประการอื่น โดยผ่านทางระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการในนามของตนเอง หรือในนามหรือเพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น
(๒) ผู้ให้บริการเก็บรักษาข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น
“ผู้ใช้บริการ” หมายความว่า ผู้ใช้บริการของผู้ให้บริการไม่ว่าต้องเสียค่าใช้บริการหรือไม่ก็ตาม
“พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
“รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(๑) ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน ไม่ว่าความเสียหายนั้นจะเกิดขึ้นในทันทีหรือในภายหลัง และไม่ว่าจะเกิดขึ้นพร้อมกันหรือไม่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท
(๒) เป็นการกระทำโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือระบบคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือการบริการสาธารณะ หรือเป็นการกระทำต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ที่มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสามแสนบาท
ถ้าการกระทำความผิดตาม (๒) เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี
(๑) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
(๒) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
(๓) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา
(๔) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้
(๕) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (๑)(๒) (๓) หรือ (๔)
ปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการกระทำตามวรรคหนึ่ง เป็นการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยสุจริต ผู้กระทำไม่มีความผิด ความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ ถ้าผู้เสียหายในความผิดตามวรรคหนึ่งตายเสียก่อนร้องทุกข์ ให้บิดา มารดา คู่สมรส หรือ บุตรของผู้เสียหายร้องทุกข์ได้ และให้ถือว่าเป็นผู้เสียหาย
(๑) ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนไทย และรัฐบาลแห่งประเทศที่ความผิดได้เกิดขึ้นหรือผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ หรือ
(๒) ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนต่างด้าว และรัฐบาลไทยหรือคนไทยเป็นผู้เสียหายและผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ
จะต้องรับโทษภายในราชอาณาจักร
พนักงานเจ้าหน้าที่
มาตรา ๑๘ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๙ เพื่อประโยชน์ในการสืบสวนและสอบสวนในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ เฉพาะที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ในการใช้เป็นหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิดและหาตัวผู้กระทำความผิด
(๑) มีหนังสือสอบถามหรือเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้มาเพื่อให้ถ้อยคำ ส่งคำชี้แจงเป็นหนังสือ หรือส่งเอกสาร ข้อมูล หรือหลักฐานอื่นใดที่อยู่ในรูปแบบที่สามารถเข้าใจได้
(๒) เรียกข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์จากผู้ให้บริการเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารผ่านระบบคอมพิวเตอร์หรือจากบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง
(๓) สั่งให้ผู้ให้บริการส่งมอบข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้บริการที่ต้องเก็บตามมาตรา ๒๖ หรือที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมของผู้ให้บริการให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่
(๔) ทำสำเนาข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ จากระบบคอมพิวเตอร์ที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ในกรณีที่ระบบคอมพิวเตอร์นั้นยังมิได้อยู่ในความครอบครองของพนักงานเจ้าหน้าที่
(๕) สั่งให้บุคคลซึ่งครอบครองหรือควบคุมข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ที่ใช้เก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ ส่งมอบข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ดังกล่าวให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่
(๖) ตรวจสอบหรือเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ ข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่ใช้เก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ของบุคคลใด อันเป็นหลักฐานหรืออาจใช้เป็นหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือเพื่อสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดและสั่งให้บุคคลนั้นส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ ที่เกี่ยวข้องเท่าที่จำเป็นให้ด้วยก็ได้
(๗) ถอดรหัสลับของข้อมูลคอมพิวเตอร์ของบุคคลใด หรือสั่งให้บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเข้ารหัสลับของข้อมูลคอมพิวเตอร์ ทำการถอดรหัสลับ หรือให้ความร่วมมือกับพนักงานเจ้าหน้าที่ในการถอดรหัสลับดังกล่าว
(๘) ยึดหรืออายัดระบบคอมพิวเตอร์เท่าที่จำเป็นเฉพาะเพื่อประโยชน์ในการทราบรายละเอียดแห่งความผิดและผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้
(๘) ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อมีคำสั่งอนุญาตให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามคำร้อง ทั้งนี้ คำร้องต้องระบุเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบุคคลใดกระทำหรือกำลังจะกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ เหตุที่ต้องใช้อำนาจ ลักษณะของการกระทำความผิด รายละเอียดเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำความผิดและผู้กระทำความผิด เท่าที่สามารถจะระบุได้ ประกอบคำร้องด้วยในการพิจารณาคำร้องให้ศาลพิจารณาคำร้องดังกล่าวโดยเร็วเมื่อศาลมีคำสั่งอนุญาตแล้ว ก่อนดำเนินการตามคำสั่งของศาล ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งสำเนาบันทึกเหตุอันควรเชื่อที่ทำให้ต้องใช้อำนาจตามมาตรา ๑๘ (๔) (๕) (๖) (๗) และ (๘) มอบให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองระบบคอมพิวเตอร์นั้นไว้เป็นหลักฐาน แต่ถ้าไม่มีเจ้าของหรือผู้ครอบครองเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ ณ ที่นั้น ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งมอบสำเนาบันทึกนั้นให้แก่เจ้าของหรือ
ผู้ครอบครองดังกล่าวในทันทีที่กระทำได้ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้เป็นหัวหน้าในการดำเนินการตามมาตรา ๑๘ (๔) (๕) (๖) (๗) และ
(๘) ส่งสำเนาบันทึกรายละเอียดการดำเนินการและเหตุผลแห่งการดำเนินการให้ศาลที่มีเขตอำนาจภายในสี่สิบแปดชั่วโมงนับแต่เวลาลงมือดำเนินกา เพื่อเป็นหลักฐานการทำสำเนาข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามมาตรา ๑๘ (๔) ให้กระทำได้เฉพาะเมื่อมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ และต้องไม่เป็นอุปสรรคในการดำเนินกิจการของเจ้าของหรือผู้ครอบครองข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นเกินความจำเป็น การยึดหรืออายัดตามมาตรา ๑๘ (๘) นอกจากจะต้องส่งมอบสำเนาหนังสือแสดงการยึดหรืออายัดมอบให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองระบบคอมพิวเตอร์นั้นไว้เป็นหลักฐานแล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่จะสั่งยึดหรืออายัดไว้เกินสามสิบวันมิได้ ในกรณีจำเป็นที่ต้องยึดหรืออายัดไว้นานกว่านั้น ให้ยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อขอขยายเวลายึดหรืออายัดได้ แต่ศาลจะอนุญาตให้ขยายเวลาครั้งเดียวหรือหลายครั้งรวมกันได้อีกไม่เกินหกสิบวัน เมื่อหมดความจำเป็นที่จะยึดหรืออายัดหรือครบกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องส่งคืนระบบคอมพิวเตอร์ที่ยึดหรือถอนการอายัดโดยพลัน หนังสือแสดงการยึดหรืออายัดตามวรรคห้าให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
โดยมิชอบ หรือเป็นการกระทำตามคำสั่งหรือที่ได้รับอนุญาตจากศาลพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ใดฝ่าฝืนวรรคหนึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้ให้บริการผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรานี้ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าแสนบาท
พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์
นายกรัฐมนตรี


มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้ “ระบบคอมพิวเตอร์” หมายความว่า อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมการทำงานเข้าด้วยกัน โดยได้มีการกำหนดคำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใด และแนวทางปฏิบัติงานให้อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลโดยอัตโนมัติ
มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวง เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๑
มาตรา ๕ ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้น มิได้มีไว้สำหรับตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๖ ผู้ใดล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะถ้านำมาตรการดังกล่าวไปเปิดเผยโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๗ ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๘ ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อดักรับไว้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่อยู่ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นมิได้มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะหรือเพื่อให้บุคคลทั่วไปใช้ประโยชน์ได้ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๙ ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๐ ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบ เพื่อให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนจนไม่สามารถทำงานตามปกติได้ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๑ ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่นโดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดังกล่าว อันเป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่นโดยปกติสุข ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
มาตรา ๑๒ ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๙ หรือมาตรา ๑๐
มาตรา ๑๓ ผู้ใดจำหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคำสั่งที่จัดทำขึ้นโดยเฉพาะเพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดตามมาตรา ๕ มาตรา ๖ มาตรา ๗ มาตรา ๘ มาตรา ๙ มาตรา ๑๐ หรือมาตรา ๑๑ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๔ ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๕ ผู้ให้บริการผู้ใดจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๑๔
มาตรา ๑๖ ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด ทั้งนี้ โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือ
มาตรา ๑๗ ผู้ใดกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้นอกราชอาณาจักรและ
หมวด ๒
มาตรา ๑๙ การใช้อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๑๘ (๔) (๕) (๖) (๗) และ
มาตรา ๒๐ ในกรณีที่การกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เป็นการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ที่อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามที่กำหนดไว้ในภาคสองลักษณะ ๑ หรือลักษณะ ๑/๑ แห่งประมวลกฎหมายอาญา หรือที่มีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน พนักงานเจ้าหน้าที่โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีอาจยื่นคำร้อง พร้อมแสดงพยานหลักฐานต่อศาลที่มีเขตอำนาจขอให้มีคำสั่งระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นได้ ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามวรรคหนึ่ง ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทำการระงับการทำให้แพร่หลายนั้นเอง หรือสั่งให้ผู้ให้บริการระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นก็ได้
มาตรา ๒๑ ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่พบว่า ข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดมีชุดคำสั่งไม่พึงประสงค์รวมอยู่ด้วย พนักงานเจ้าหน้าที่อาจยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อขอให้มีคำสั่งห้ามจำหน่ายหรือเผยแพร่ หรือสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นระงับการใช้ ทำลายหรือแก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นได้ หรือจะกำหนดเงื่อนไขในการใช้ มีไว้ในครอบครอง หรือเผยแพร่ชุดคำสั่งไม่พึงประสงค์ดังกล่าวก็ได้ชุดคำสั่งไม่พึงประสงค์ตามวรรคหนึ่งหมายถึงชุดคำสั่งที่มีผลทำให้ข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือระบบคอมพิวเตอร์หรือชุดคำสั่งอื่นเกิดความเสียหาย ถูกทำลาย ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมขัดข้อง หรือปฏิบัติงานไม่ตรงตามคำสั่งที่กำหนดไว้ หรือโดยประการอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวงทั้งนี้ เว้นแต่เป็นชุดคำสั่งที่มุ่งหมายในการป้องกันหรือแก้ไขชุดคำสั่งดังกล่าวข้างต้น ตามที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๒๒ ห้ามมิให้พนักงานเจ้าหน้าที่เปิดเผยหรือส่งมอบข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลของผู้ใช้บริการ ที่ได้มาตามมาตรา ๑๘ ให้แก่บุคคลใดความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับกับการกระทำเพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ หรือเพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีกับพนักงานเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการใช้อำนาจหน้าที่
มาตรา ๒๓ พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ใดกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นล่วงรู้ข้อมูลคอมพิวเตอร์ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลของผู้ใช้บริการ ที่ได้มาตามมาตรา ๑๘ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๒๔ ผู้ใดล่วงรู้ข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลของผู้ใช้บริการ ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้มาตามมาตรา ๑๘ และเปิดเผยข้อมูลนั้นต่อผู้หนึ่งผู้ใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๒๕ ข้อมูล ข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้มาตามพระราชบัญญัตินี้ ให้อ้างและรับฟังเป็นพยานหลักฐานตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือกฎหมายอื่นอันว่าด้วยการสืบพยานได้ แต่ต้องเป็นชนิดที่มิได้เกิดขึ้นจากการจูงใจมีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวง หรือโดยมิชอบประการอื่น
มาตรา ๒๖ ผู้ให้บริการต้องเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้ไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันนับแต่วันที่ข้อมูลนั้นเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ แต่ในกรณีจำเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่จะสั่งให้ผู้ให้บริการผู้ใดเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้เกินเก้าสิบวัน แต่ไม่เกินหนึ่งปีเป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายและเฉพาะคราวก็ได้ ผู้ให้บริการจะต้องเก็บรักษาข้อมูลของผู้ใช้บริการเท่าที่จำเป็นเพื่อให้สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการ นับตั้งแต่เริ่มใช้บริการและต้องเก็บรักษาไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันนับตั้งแต่การใช้บริการสิ้นสุดลง ความในวรรคหนึ่งจะใช้กับผู้ให้บริการประเภทใด อย่างไร และเมื่อใด ให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๒๗ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่สั่งตามมาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๒๐ หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลตามมาตรา ๒๑ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาทและปรับเป็นรายวันอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง
มาตรา ๒๘ การแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มีความรู้และความชำนาญเกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ และมีคุณสมบัติตามที่รัฐมนตรีกำหนด
มาตรา ๒๙ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามีอำนาจรับคำร้องทุกข์หรือรับคำกล่าวโทษ และมีอำนาจในการสืบสวนสอบสวนเฉพาะความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ในการจับ ควบคุม ค้น การทำสำนวนสอบสวนและดำเนินคดีผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ บรรดาที่เป็นอำนาจของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ หรือพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ประสานงานกับพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ให้นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และรัฐมนตรีมีอำนาจ ร่วมกันกำหนดระเบียบเกี่ยวกับแนวทางและวิธีปฏิบัติในการดำเนินการตามวรรคสอง
มาตรา ๓๐ ในการปฏิบัติหน้าที่ พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลซึ่งเกี่ยวข้อง บัตรประจำตัวของพนักงานเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากในปัจจุบันระบบคอมพิวเตอร์ได้เป็นส่วนสำคัญ ของการประกอบกิจการ และการดำรงชีวิตของมนุษย์ หากมีผู้กระทำด้วยประการใด ๆ ให้ระบบคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานตามคำสั่งที่กำหนดไว้ หรือทำให้การทำงานผิดพลาดไปจากคำสั่งที่กำหนดไว้ หรือใช้วิธีการใด ๆ เข้าล่วงรู้ข้อมูล แก้ไข หรือทำลายข้อมูลของบุคคลอื่น ในระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ หรือใช้ระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ หรือมีลักษณะอันลามกอนาจาร ย่อมก่อให้เกิดความเสียหาย กระทบกระเทือนต่อเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของรัฐ รวมทั้งความสงบสุขและศีลธรรมอันดีของประชาชน สมควรกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้

อ้างอิงจาก


ความปลอดภัยในงานวิศวกรรม


ความปลอดภัยในการทำงาน
สภาพเศรษฐกจิและสงัคมปัจจุบันทำให้ผู้ประกอบอาชีพ ต้องทำงานในสภาพของการแข่งขัน เร่งรีบ ทำงานแข่งกับเวลา ไม่ว่าจะเป็นงานอาชีพด้านใดก็ตามทุกคนต้องพยายามปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ เจ้าของกิจการมุ่งแต่ผลผลิตจนกระทั่งขาดความสนใจในเรื่องความปลอดภัย ซึ่งเป็นสาเหตุที่ท าให้เกิดอันตรายจากการประสบอุบัติเหตุของคนงาน เกิดการบาดเจ็บ หรือเสี่ยงต่อโรคภยัไขเ้จบ็ ต่างๆ ไดเ้สมอ ทา ใหเ้กดิการเจบ็ ป่วยทุกข์ ทรมานทั้งทางด้า้นรา่งกายและจิตใจจนกระทั่งเสียชีวิตได้ ส่งผลกระทบในระยะยาวถึงครอบครัว สังคมและประเทศชาติต่อไปด้วย นอกจากนัน้ การเจ็บป่วยของผู้ปฏิบตัิงานยงัก่อให้เกิดผลกระทบกับสถานประกอบการเนื่องจากคนที่ประสบอันตรายไม่สามารถมาทำงานได้ ขาดคนทำงาน ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น และทำให้คนงานเสียขวัญและก าลังใจในการทำงานในปัจจุบันสถานประกอบการให้ ความสนใจในการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยในการทำงานกันมากยิ่งขึ้น และในขณะเดียวกันเจ้าของกิจการก็จะคำนึงถึง

ผลประโยชน์ในด้านการเพิ่ม ผลผลติและการป้องกันหรือลดการสูญเสียของกำลังงานกับวัตถุดิบไปพร้อมกันด้วย ดังนั้นสถานประกอบการหรือเจ้าของกิจการก็จะพยายามพัฒนาแรงงาน ให้เท่าทันเทคโนโลยีและผลักดันให้คนงานเพิ่มขีดความสามารถ ด้วยวิธีการจัดการฝึกอบรมให้การศึกษาอย่างต่อเนื่องและจัดสวัสดิการที่เหมาะสมให้กับคนงานเพิ่มมากขึ้นเพื่อเป็นการลดสถิติการเกิดอุบัติเหตุและความไม่ปลอดภัยในการทำงานลงให้ได้ความหมายของความปลอดภัยในการทำงาน
ความปลอดภัย (Safety) หมายถึง สภาวะการปราศจากภัยหรือการพ้นภัย และรวมถึงปราศจากอันตราย (Danger) การบาดเจ็บ (Injury) การเสี่ยงภัย (risk) และการสูญเสีย (Loss)                                 (Hazard) หมายถึง สภาวการณ์ซึ่งมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดการบาดเจ็บของ
บุคคล หรือเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน รวมทั้งการกระทบกระเทือนต่อขีดความสามารถในการปฏิบัติงานตามปกติของบุคคลอันตราย (Danger) หมายถึง สภาวะที่เป็นอันตรายไม่ว่าจะอยู่ในระดับของความรุนแรงมากหรอืน้อยขน้ึอยู่กบัสภาพของการท างานและการป้องกนั เช่น การท างานบนที่
สูง ซึ่งถือว่าเป็นสภาพการณ์ที่มีความเสี่ยงที่จะมีโอกาสเกิดอันตรายขึ้นได้ถ้าหากเกิด
ความผิดพลาดเกิดขึ้น และอาจท าให้เกิดการบาดเจ็บหรือถึงกับชีวิตได้อุบัตการณ์(Incident) หมายถึง เหตุการณ์ที่ไม่ปรารถนาจะให้เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นจะทำให้เกิดการสูญเสียตามมาอีกมากมาย เช่น งานซ่อมบำรุงเครื่องจักรต้องการเปลี่ยนชิ้นส่วนอะไหล่ตามกำหนด แต่ปรากฏว่าได้อะไหล่ไม่ครบทำให้งานล่าช้าและเป็นผลเสียกับระบบอุบบัติเหตุ(Accident) หมายถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครคาดคิด ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้น ไม่สามารถควบคุมได้ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ขณะนั้น ทำให้เกิดความเสียหาย ส่งผลกระทบต่อทั้งตัวเอง ครอบครัว เศรษฐกิจ สังคม และประเทศชาติความปลอดภยัในการทำงาน คือ การปฏิบัติงานให้สำเร็จลุล่วงตามเป้าหมายโดยปราศจากเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเสียหาย การสูญเสียทั้งบุคคลและทรัพย์สินการบาดเจบ็ ป่วยเป็นโรคจนถึงขั้นเสียชีวิตอุบัติภัยในการทำงาน หมายถึง ภัยและความเสียหายอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อน ทำให้ผู้ปฏิบัติงาน บาดเจ็บ สูญเสียทรัพย์สิน พิการหรือเสียชีวิตความสำคัญของความปลอดภัยในการท างานสถิติของคนท างานที่ต้องประสบอุบัติการณ์เกิดการบาดเจ็บ สูญเสียทรัพย์สินเงินทอง อวัยวะ จนกระทั่งถึงชีวิตจากการประกอบอาชีพนั้นมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี สาเหตุเนื่องมาจากลักษณะของงานที่ท า อัตราเสี่ยง สภาพการท างานที่เร่งรีบ การท างานบนที่สูง หรือในหน่วยงานใดก็ตาม ตั้งแต่ปี พ.ศ.2535 แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีก าลังแรงงานรวมถึง 33 ล้านคน เป็นผู้มีงานท า 30 ล้านคน เป็นผู้ที่อยู่ในภาคเกษตรกรรม 18 ล้านคน นอกภาคเกษตรกรรม 12 ล้านคน ซึ่งเป็นลูกจ้างเอกชน 5.8 ล้านคน และเป็นข้าราชการและลูกจ้าง 1.7 ล้านคน (กิตติ ปทุมแก้ว, 2536: 2) และจากสถิติการประสบอันตรายจากการท างานของแรงงานของสมาคมส่งเสริมความปลอดภัยและอนามัยในการท างาน (ประเทศไทย) ในรอบ 5 ปี ที่ผ่านมาดังนี้

ตารางที่ 2 สถิติการประสบอันตรายรอบปี พ.ศ.2534-2538

แหล่งที่มาของข้อมูลสถิติ: สมาคมส่งเสริมความปลอดภัยและอนามัยในการท างานจะเห็นได้ว่าอัตราความสูญเสียของผู้ประสบอันตรายในรอบ 5 ปี (ประเทศไทย)ตามตารางนั้น มีอัตราเฉลี่ยประมาณไม่น้อยกว่า 4.4 ต่อปี และนอกจากนั้นแล้วยังมีการสูญเสียอย่างต่อเนื่องสัมพันธ์ถึงทรัพย์สินของผู้ประกอบการ สูญเสียบุคคลที่เป็นทรัพยากรที่มีค่ายิ่ง รวมไปถึงครอบครัว เศรษฐกิจ สังคมและประเทศชาติ ซึ่งคิดเป็นมูลค่ามหาศาล ดังนั้นผู้เกี่ยวข้องจึงจ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการศึกษาวิเคราะห์ถึงสาเหตุของการเกดิ ความสญู เสยีดงักล่าว เพ่อืหาแนวทางในการควบคุมป้องกนัและแก้ไขให้กับผู้ประกอบอาชีพ ให้สามารถทำงานได้อย่างมีความสุข มีประสิทธิภาพ สามารถพัฒนาให้
ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอันจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไปการสูญเสียเนื่องจากการทำงาน
ประเทศไทยเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา ทำให้เกิดมีโรงงานอุตสาหกรรมทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดใหญ่เกิดขึ้นมากมาย การลงทุนเกี่ยวกับงานด้านความปลอดภัยในการทำงานจึงเป็นเรื่องที่ท าได้ไม่มากเท่าที่ควร เนื่องจากมีการลงทุนค่อนข้างสูงและผลที่ได้รับคืนมาไม่เห็นเป็นปริมาณหรือตัวเลขอย่างชัดเจน โรงงานขนาดเล็กไม่สามารถลงทุนด้านความปลอดภัยได้และยังไม่เห็นถึงความส าคัญของงานด้านความปลอดภัยอีกด้วย ท าให้ไม่มีการบันทึกข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการจัดการด้านความปลอดภัย จึงไม่สามารถวิเคราะห์ถึงสาเหตุและแนวทางการแก้ไข สาเหตุของความไม่ปลอดภัยได้เลย จากการสรุปของบทความ “อารยะ” ทางเศรษฐกิจสู่ “หายนะ” ของแรงงานไทย ซึ่ง รศ.ดร.วรวิทย์ เจริญเลิศ ได้กล่าวถึงการวัดความส าเร็จของการพัฒนาโดยการพิจารณาจากการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP: Gross Domestic Product) หรือรายได้ประชาชาติเพียงอย่างเดียว อาจจะไม่ได้สะท้อนตัวเลขแท้จริงเพราะยังไม่ได้นับรวมต้นทุนทางสังคม (ปญัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ) ซึ่งต้นทุนเหล่านี้เป็น “ต้นทุนแอบแฝง” ภายใต้กระบวนการเร่งรัดการพัฒนาอุตสาหกรรม รวมทั้งผลกระทบทางด้านคุณภาพชีวิตและจิตใจ ซึ่งไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้ ทำให้เกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมแรงงานที่ยังเกิดซ้ำซาก แม้ว่าทางรัฐบาลจะจัดตั้งกระทรวง
แรงงาน ออกกฎหมายและระเบียบของกระทรวงในการคุ้มครองแก่คนงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีกองทุนเงินทดแทน การประกันสังคมและกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในการทำงาน รวมทั้งการจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ตลอดจนกองตรวจโรงงาน กรมโรงงานอุตสาหกรรม แต่ก็ยังไม่สามารถป้องกันปัญหาได้ดังเช่นเหตุการณ์ตั้งแต่ปีพ.ศ.2536 จนถึงปัจจุบันมีข่าวที่สร้างความสะเทือนขวัญไปทั่วโลก ได้แก่ กรณีไฟไหม้โรงงานเคเดอร์ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2536) มีคนหนุ่มสาวเสียชีวิตถึง 188 ราย และบาดเจ็บกว่า 400 ราย กรณีโรงแรมรอยัลพลาซ่าถล่ม (13 สิงหาคม 2538) มีผู้เสียชีวิต 157 ราย บาดเจ็บกว่า 200 ราย กรณีไฟไหม้โรงแรมรอยัลจอมเทียนรีสอร์ท (11 กรกฎาคม 2540) มีผู้เสียชีวิตรวม 91 ราย บาดเจ็บกว่า 50 ราย และกรณีโรงงานอบล าไย บริษัท หงส์ไทยเกษตรพัฒนา จ ากัด เกิดระเบิด (19 กันยายน 2542) ท าให้มีผู้เสียชีวิต 36 ราย บาดเจ็บสาหัส 2 ราย ชุมชนบริเวณรอบโรงงานรัศมี 1 กิโลเมตร ได้รับความเสียหาย 571 หลังคาเรือน ชาวบ้านบาดเจ็บ 160 ราย และสถิติจากส านักงานกองทุนเงินทดแทน พบว่าในเดือนพฤษภาคม 2547 ที่ประสบอันตรายเนื่องจากการท างาน รวมทั้งสิ้น 215,534 ราย ในจ านวนนี้เสียชีวิตถึง 600 ราย และการประสบอันตรายของคนงานก็ยังคงเพิ่มสูงขึ้น
อย่างต่อเนื่อง เมื่อคิดอัตราการประสบอันตรายในทุกกรณีเฉลี่ยที่ 45 คนจากอัตราลูกจ้าง 1,000 คน ในปี 2535-2539 ส่วนหลังจากปี 2540 เป็นต้นมา พบว่าอัตราการประสบอันตรายจากการท างานมีแนวโน้มลดลงเท่ากับ 39.5 ในปี พ.ศ.2540 มีค่าเท่ากับ 36.25 ในปี พ.ศ.2541 มีค่าเท่ากับ 32.3 ในปี พ.ศ.2542 และ 29.9 ในปี พ.ศ.2546 เนื่องจากเกิดภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจภายในประเทศ และเปรียบเทียบกับสถิติการประสบอันตรายจากการท างานกับประเทศสหรัฐอเมริกาหรืออังกฤษจะเห็นว่ามีอัตราการประสบอันตรายจากการทำงานอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 10 คนต่อจำนวนลูกจ้าง 1,000 คน แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยยังมีอัตราการประสบอันตรายจากการทำงานในระดับที่ค่อนข้างสูงมาก นอกจากนั้นยังแสดงให้เห็นถึงการประสบอันตรายจากการทำงานต่อมิติทางเพศไว้ดังนี้คือ ลูกจ้างที่ประสบอันตรายจากการท างานในปี พ.ศ.2547 จ านวนทั้งหมด 215,534 คน แยกเป็นชาย 
172,691 คน และหญิง 42,834 คน หรืออาจสรุปว่าคนงานชายประสบอันตรายจากการท างานมากกว่าคนงานหญิงถึง 3 เท่าในแต่ละปีและปัญหาทต่ีามมาก็คือ การจัดการกับปัญหาครอบครัวที่ต่างกัน ถ้าในกรณีที่เป็นผู้หญิงจะสามารถจัดการกับปัญหาครอบครวัได้ดีกว่า จะเห็นความสำคัญของการศึกษาของเด็กกับอนาคตแต่ก็ต้องทำงานหนักเพื่อหารายได้ให้เพียงพอกับรายจ่ายของครอบครัวที่จะต้องเป็นทั้งแม่และพ่อในขณะเดียวกัน ในกรณีที่เป็นผู้ชายก็ต้องมีบทบาทรับผิดชอบเป็นทั้งพ่อและแม่ เลี้ยงดูครอบครัวและลูกในขณะเดียวกันนั้นมักจะมีโอกาสที่จะทำให้ครอบครัวแตกแยกเกิดขึ้นได้ ในกรณีพ่อติดเหล้า ทิ้งลูก แต่งงานใหม่ หรือส่งลูกให้ยายหรือย่าเป็นผู้รับผิดชอบแทน หรืออาจถูกปลดออกจากงานเน่ืองจากสาเหตุของการเจ็บ ป่วยจากการทำงานกลายเป็นคนตกงานอย่างถาวร
ไม่สามารถหางานในระบบไดต้อ้งเผชิญ กับปัญหาทางสังคม กลายเป็น “คนชายขอบของ
สังคม” ที่ต้องเผชิญกับทัศนคติในทางลบของคนในสังคมความสูญเสียเนื่องจากอุบัติเหตุจากการทำงานสามารถจำแนกออกเป็น 2 ส่วน คือ ความสูญเสียทางตรง ได้แก่ การรักษาพยาบาลและการทดแทน กับความสูญเสียทางอ้อมหรือความสูญเสียแฝงเร้น ซึ่งเฮนริค (Heinrich): 1959 ได้กล่าวถึงความสูญเสียแฝงเร้นว่าประกอบด้วย

ความสูญเสียแฝงเร้นประกอบด้วย
     1. ค่าความสูญเสียเวลาของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ
     2. ค่าความสูญเสียบุคคลที่ต้องหยุดงานเนื่องจากความอยากรู้อยากเห็น ความ
         สงสัยการนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลและอื่นๆ
     3. ค่าความสูญเสียหัวหน้างาน ผู้ควบคุมงานและผู้จัดการในเรื่องการช่วยเหลือ
     ผู้บาดเจ็บ การคัดเลือกและฝึกอบรมพนักงานใหม่ การจัดทำรายงานอุบัติเหตุ
     4. ค่าความสูญเสียเวลาในการปฐมพยาบาลและเจ้าหน้าที่สถานพยาบาลต่างๆ
     5. ค่าความสูญเสียเนื่องจากเครื่องจักรชำรุด หรือทรัพย์สินอื่นๆ เสียหาย
     6. ค่าความสูญเสียที่ำให้การผลิตต้องชะงัก ไม่สามารถจัดส่งสินค้าได้ตาม
         กำหนดเวลา ไม่ได้รับเงินรางวัล
     7. ค่าใช้จ่ายที่นายจ้างต้องสูญเสียเป็นค่าสวัสดิการแก่ลูกจ้าง
     8. ค่าจ้างที่นายจ้างต้องจ่ายเต็มให้กับ คนงานลูกจ้างที่เพิ่งหายจากการเจ็บป่วย
         ซึ่งอาจจะยังทำงานได้ไม่เต็มความสามารถ
     9. ค่าความสูญเสียผลกำไรที่จะพึงได้จากผลผลิตของคนงานและเครื่องจักรที่ไม่มี
         คนงานผู้ใช้
     10. ค่าความสูญเสียที่พนักงานเสียขวัญจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
     11. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ

      ซึ่งในการดำเนินโครงการด้านความปลอดภัยในเชิงธุรกิจนั้นต้องการค่าของ
ผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากที่สุด และต้องมีการควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างรอบคอบ 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานด้านอาชีวอนามัย และความปลอดภัยที่อาจเกิดเหตุการณ์ความ
เสียหายที่ไม่สามารถคิดคำนวณออกมาเป็นตัวเลขหรือตัวเงินได้กับค่าใช้จ่ายที่ต้องสูญเสีย
ไปเพื่อการป้องกันมิให้เกิดความไม่ปลอดภัยจากการทำงาน ได้แก่

 1. ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการน าเอาระบบความปลอดภัยเข้ามาใช้ (Pro-active costs)
เป็นค่าใช้จ่ายในการวางแผนก าหนดมาตรการด้านการป้องกนัเพอ่ืมใิหเ้กดิโรค หรอืความ
ไม่ปลอดภัยจากการท างานของหน่วยงาน ซึ่งสามารถค านวณออกมาเป็นตัวเลขหรือ
จ านวนเงนิได้เช่น ค่าใชจ้่ายในการตดิ ตงั้ระบบควบคุมป้องกนัเหตุอนั ตรายต่างๆ ค่าจา้ง
หรือเงินเดือนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ค่าอุปกรณ์ รวมทั้งเงินกองทุนทดแทนที่ต้องจ่าย 
เป็นต้น
2. ค่าใช้จ่ายที่ต้องสูญเสียเนื่องจากรักษาพยาบาลของพนักงานคนงานที่เป็นโรค 
หรืออุบัติเหตุ ความไม่ปลอดภัยจากการท างาน (Re-active costs) ซึ่งอาจคิดค านวณเป็น
ตัวเลขหรือจ านวนเงินได้ (Tangible costs) เช่น ความเสียหายเกี่ยวกับเครื่องจักรกล 
อาคารสถานที่ ผลผลิตขณะเกิดอุบัติเหตุ ค่าชดเชย ค่าปรับให้กับกองทุน ค่าใช้จ่ายในการ
ฟื้นฟูสมรรถภาพ และนอกจากนั้นยังมีค่าใช้จ่ายหรือความสูญเสียที่ไม่สามารถบอกเป็น
ตัวเลขออกมาได้ (Intangible costs) เช่น เวลาที่เสียไปในช่วงของการเกิดเหตุการณ์ไม่
ปลอดภัย ขวัญก าลังใจของคนงาน ภาพพจน์ของสถานประกอบการ การฟื้นสภาพการ
ท างานให้เป็นไปตามปกติ ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมให้ความรู้ความเข้าใจ หรืออบรม
พนักงานทดแทน
ในการค านวณอัตราส่วนของค่าความสูญเสียทางอ้อมและทางตรง ว่ามี
ค่าประมาณ 4:1 ต่อมา ดี รีมี (Dee Reame) 1980 ได้อ้างถึงการศึกษาจากนักวิชาการว่า
อัตราส่วนนั้นจะอยู่ระหว่าง 2.3:1 ถึง 101:1 ซึ่งอาจเปรียบได้เหมือนภูเขาน ้าแข็งใน
มหาสมุทร จะมีส่วนที่โผล่พ้นน ้าขึ้นมาที่เปรียบเหมือนค่าความสูญเสียทางตรงที่เรา
สามารถรับสัมผัสได้โดยตรง กับส่วนที่จมอยู่ในน ้าเปรียบเหมือนกับว่าค่าความสูญเสีย
ทางอ้อม ที่บุคคลมักจะไม่ค่อยค านึงถึงหรือมักจะมองข้ามความส าคัญไป และมีค่า
มากกว่าส่วนที่โผล่ขึ้นเหนือน ้า (ชัยยุทธ ชวลิตนิธิกุล, 2532: 9-10)

 ภูเขาน ้าแข็ง : ความเสียหายจากอุบัติเหตุที่เห็นได้ชัดเจนมีเพียง 1 ส่วน อีก 4 ส่วนเป็นความ
เสียหายที่ไม่สามารถค านวณได้ที่มา 
ปัญหาการประสบอันตรายจากการท างาน
การประสบอนั ตรายจากการท างานนัน้ มปีจัจยัส าคญั ท่เีก่ียวขอ้งกันตลอดเวลา 
ได้แก่
1. ตัวบุคคล คือ ผู้ประกอบการลูกจ้างและบุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท างาน 
ซึ่งเป็นตัวสาเหตุใหญ่ที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุหรืออันตรายจากการท างาน โดยอาจจะเกิดจาก
การขาดความรู้ความเข้าใจถึงวิธีการท างานอย่างปลอดภัย ขาดความตระหนักถึง
ความส าคัญของสุขภาพ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่อาจจะยังขาดทักษะในการตรวจบังคับ
ให้ถูกต้องตามกฎหมาย
2. สิ่งแวดล้อม คือ ตัวองค์กรหรือสถานประกอบการ สภาพของการท างานที่มี
องค์ประกอบต่างๆ เพื่อให้มีการด าเนินงานได้โดยรอบตัวของผู้ปฏิบัติงาน รวมทั้ง
กฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ ทั้งในสถานประกอบการและของหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่
รบั ผดิ ชอบยงัขาดเอกภาพทเ่ีด่นชดั และบางครงั้ไม่เอ้อือ านวยต่อการป้องกนั ควบคุมทม่ีี
ประสิทธิภาพ
3. อุปกรณ์ เครื่องจักร เครื่องมือ คือ วัสดุอุปกรณ์ที่จ าเป็นต้องใช้ในการปฏิบัติงาน
ในสถานประกอบการเพ่อืการผลติและบรรลุเป้าหมายในการท างาน ซึ่งอาจเสื่อมสภาพ
ขาดการตรวจสอบดูแลบ ารุงรักษา ขาดการควบคุมดูแลให้ปฏิบัติตามค าแนะน า ขาดการ
จัดระเบียบ เป็นต้น
มาตรการในการแก้ปัญหาการประสบอันตรายจากการท างาน
เพื่อให้การท างานของแรงงานได้รับความปลอดภัยสูงสุดและลดการเกิดอุบัติเหตุ
จากการท างาน ลดความสูญเสียจากการเกิดอุบัติเหตุ จึงจ าเป็นที่จะต้องมีมาตรการ
กา หนดเพอ่ืการป้องกนัและแกป้ ญั หาต่างๆ เกดิขน้ึ
การสอบสวนอบุ ตัิเหตุ(Accident Investigation)
การเกิดเหตุอันตรายหรืออุบัติเหตุทุกครั้งมีความจ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการ
สอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริง และมีการบันทึกรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นข้อมูล
แนวทางในการก าหนดมาตรการการป้องกนัอย่างไดผ้ล ซง่ึวตัถุประสงค์ของการสอบสวน 
ดังนี้
1. เพื่อการค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดอุบัติเหตุและสภาพอันตรายต่างๆ 
สา หรบัเป็นแนวทางการป้องกนัและการแกไ้ขอยา่ งถูกตอ้ง
2. เพ่อืคน้ หาความจรงิขอการกระท าทไ่ีม่ถูกต้องตามกฎขอ้ บงัคบั หรอืการฝ่าฝืน
ระเบียบซึ่งเป็นสาเหตุท าให้เกิดอุบัติเหตุ
3. เพื่อการเปรียบเทียบการท างานที่เปลี่ยนแปลงว่ามีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
หรือไม่
4. เพื่อให้ทราบผลของความเสียหายอันเนื่องมาจากอันตรายที่เกิดอุบัติเหตุ 
เกดิ การบาดเจบ็ ในการกระตุน้ เตอืนใหผ้ ูท้ เ่ีกย่ีวขอ้งทุกฝ่ายหนั มาเหน็ ความสา คญั ใส่ใจ
ในการป้องกนัอนัตรายจากอุบตัเิหตุ
5. เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลสถิติ เป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์และสอบสวน
อุบัติเหตุ และความไม่ปลอดภัย
ในการสอบสวนอุบัติเหตุนั้นต้องค านึงถึงสาเหตุทางสภาวะแวดล้อมและพฤติกรรม
ของบุคคลซึ่งได้ปรับปรุงแนวทางการค้นหาสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุมาจาก ASA 
Standard Z16.2 (1962) เป็นรูปแบบของ “Method of Recording Basic Facts Relating 
to Nature and Occurrence of work Injuries” 

สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ 7 ประการ ดังนี้
      1. ลักษณะของการบาดเจ็บ (Nature of injuries)
      2. อวัยวะของร่างกายที่ได้รับผลกระทบ (Part of body affected)
      3. จุดที่ท าให้เกิดการบาดเจ็บ (Source of injuries)
      4. ชนิดของอุบัติเหตุ (Accident type)
      5. สภาพของอันตราย (Hazardous conditions)
      6. แหล่งก าหนดอุบัติเหตุ (Agency of accident)
      7. การกระท าที่ไม่ปลอดภัย (Unsafe act)
เมื่อทราบสาเหตุดังกล่าวแล้วจึงน ามาเป็นแนวทางในการสร้างแบบส ารวจ
ตรวจสอบด้านความปลอดภัยในการท างานโดยเฉพาะงานอุตสาหกรรม ซึ่งได้รูปแบบเป็น
มาตรฐานเดียวกัน สามารถน าไปใช้ในการตรวจสอบเปรียบเทียบด้านความปลอดภัยได้
ตลอดเวลา
การตรวจสอบความปลอดภัย (Safety Inspection)
ค้นหาสาเหตุของอนั ตรายเพ่อืเป็นแนวทางการก าหนดมาตรการในการป้องกนั
ซึ่งอาจเป็นวิธีการที่เป็นทางการหรือโดยบุคลากรในองค์กรที่มีประสบการณ์และตระหนัก
ถึงความส าคัญของความปลอดภัยที่จะร่วมมือกันในการสังเกต ตรวจตรา เอาใจใส่ถึงสิ่ง
ผิดปกติความบกพร่องที่อาจเกิดมีขึ้นในการท างานก็ได้ซึ่งโดยทั่วไปจะมีแบบส ารวจเพื่อ
การตรวจสอบ และแจ้งผลไปยังผู้เกี่ยวข้อง หัวหน้างาน ผู้จัดการ หรือคณะกรรมการความ

ปลอดภัยของหน่วยงานเพื่อการแก้ไข ดังหัวข้อส าคัญๆ ดังนี้
      1. เรื่องความเป็นระเบียบเรียบร้อย และความสะดวกของสถานที่
      2. การจัดสุขาภิบาลโดยทั่วไป
      3. เครอ่ืงมอื อุปกรณ์ไฟฟ้า
      4. เครื่องมือ อุปกรณ์ที่ใช้ลมความดันสูง
      5. เครนหรอืปนั้จนั่ ทใ่ีชใ้นการเคลอ่ืนยา้ยหรอืยกสงิ่ ของหนกั
      6. อุปกรณ์ในการยกหรือขนถ่ายวัสดุ
      7. สัญญาณเตือนภัย เครื่องดับเพลิง ทางหนีไฟและประตูหนีภัย
      8. สภาพแวดล้อมในการท างาน เช่น ความร้อน แสง เสียง การระบายอากาศ ความชื้น
      9. เครื่องจักรขนาดใหญ่
      10. เครื่องมือช่างทั้งหลาย
      11. ทางเดิน บันได ทางออก
      12. สัญลักษณ์ด้านความปลอดภัย
      13. อุปกรณ์ปฐมพยาบาลและอุปกรณ์ช่วยชีวิต
     14. อุปกรณ์ป้องกนัอนัตรายสว่ นบุคคล

ทฤษฎีแนวคิดการเกิดอบุ ตัิเหตุ
1. ทฤษฎีโดมิโน (Domino Theory) ในปี ค.ศ.1931 นายเฮนริค (Heinrich) ได้
ค้นพบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเกิดอุบัติเหตุในงานอุตสาหกรรมว่าสาเหตุของการเกิด
อุบัติเหตุเกิดจากการกระท าของคนเป็นส่วนใหญ่ร้อยละ 88 และเกิดจากสภาพที่ไม่
ปลอดภัยร้อยละ 12 และพยายามหาแนวทางในการป้องกนัอุบตัเิหตุด้วยการปรบั ปรุง
สภาพแวดล้อมให้ปลอดภัยนั้น ท าให้แนวคิดของเขาเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป และใช้
เป็นเครื่องมือในการสอบสวนและตรวจสอบอุบัติเหตุ โดยใช้หลักของโดมิโน กล่าวคือ การ
บาดเจ็บและความเสียหายต่างๆ เป็นผลสืบเนื่องมาจากอุบัติเหตุหรือการกระท าที่ไม่
ปลอดภัย ซึ่งสามารถเปรียบเทียบได้กับตัวโดมิโนที่ตั้งเรียงกันอยู่ 5 ตัว เมื่อตัวที่ 1 ล้ม 
กย็่อมท าใหไ้ปกระทบตวัต่อไปและลม้ ตามกนัไปดว้ ย เวน้ เสยีแต่ว่าจะป้องกนัโดยการดงึ
เอาตัวโดมิโนตัวใดตัวหนึ่งออกท าให้ตัวที่ล้มก่อนหน้านั้นส่งผลกระทบมาไม่ถึงตัวต่อไป
ก็จะไม่ล้มตามไปด้วย เปรียบเสมือนอุบัติเหตุการบาดเจ็บและความเสียหาย ซึ่งสามารถ
อธิบายได้ดังนี้
โดมิโนตัวที่ 1 บรรพบุรุษและสิ่งแวดล้อมทางสังคม (Ancestry and Social 
Environment) หมายถึง สิ่งแวดล้อมทางสังคมและการประพฤติปฏิบัติสืบทอดกันมาจาก
อดีตท าให้แต่ละคนมีพฤติกรรมที่แตกต่างกันออกไป เช่น ความประมาทเลินเล่อ ความ
สะเพร่า การขาดความคิดไตร่ตรอง ความดื้อรั้น ดันทุรัง ความชอบในการเสี่ยงอันตราย 
ความตระหนี่ และลักษณะอื่นๆ ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
โดมิโนตัวที่ 2 ความบกพร่องและความผิดพลาดของคน (Falt of Person)
สุขภาพจิตและสิ่งแวดล้อมทางสังคม เป็นสาเหตุท าให้เกิดความผิดพลาดของคน เช่น การ
ท างานที่ขาดสติขาดความยั้งคิด อารมณ์รุนแรง ประสาทอ่อนไหวง่าย ตื่นเต้น ขาดความ
รอบคอบ ละเลยต่อการกระท าที่ปลอดภัย เป็นต้น
โดมิโนตัวที่ 3 การกระท าและสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย (Unsafe act and 
Condition) การกระท าที่ไม่ปลอดภัย เช่น การยืนท างานภายใต้น ้าหนักที่แขวนอยู่ การ
ติดตั้งเครื่องยนต์โดยไม่มีการแจ้งเตือน การหยอกล้อกันในขณะท างาน เป็นต้น และ
สภาพแวดลอ้ มทไ่ีมป่ ลอดภยั เชน่ ขาดเครอ่ืงป้องกนัจุดอนั ตราย หรอืไมม่ รีวั้กนัจุดทม่ีกีาร
เคลื่อนที่ เสียงดังเกิน แสงสว่างไม่เพียงพอ การระบายอากาศไม่ดี เป็นต้น
โดมิโนตัวที่ 4 การเกิดอุบัติเหตุ (Accident) เป็นเหตุการณ์ท่ีเกิดจากปจัจยั ทงั้
3 ระดับมาแล้ว ส่งผลกระทบให้เกิดอุบัติการณ์ เช่น การตกจากที่สูง ลื่นหกล้ม เดินสะดุด 
สิ่งของตกมาจากที่สูง วัตถุกระเด็นใส่ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการบาดเจ็บ
โดมิโนตัวที่ 5 การบาดเจ็บหรือพิการ (Injury/Damage) คือการบาดเจ็บที่อาจเกิด
กับร่างกาย เกิดบาดแผล การฉีกขาดของเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ หรือกระดูกหัก ที่เป็นผล
โดยตรงมาจากอุบัติเหตุ จนถึงขั้นพิการได้

    การดึงตัวใดตัวหนึ่งออกท าให้โดมิโนตัวถัดไปไม่ล้ม ที่มา :




2. ทฤษฎีมูลเหตุเชิงซ้อน (Multiple Causation Theory) ถึงแม้ทฤษฎีโดมิโนของ 
(Heinrich) จะใช้ป้องกนัแก้ไขการเกดิอุบตัเิหตุได้แต่ความถ่ีและความรุนแรงยงัไม่เป็น
ศูนย์ การมองอุบัติเหตุยังไม่ครอบคลุมลึกลงไปถึงสาเหตุที่แท้จริงต่างๆ จึงท าได้เพียงการ
แก้ไขสภาพการกระท าของคน ดังนั้นจึงมีการเสนอทฤษฎีมูลเหตุเชิงซ้อนของ แดน 
ปีเตอร์สัน (Dan Peterson) 1971 จากหนังสือเรียนเทคนิคของการจัดการความปลอดภัย 
(Technique of safety Management) ซึ่งกล่าวไว้ว่า อุบัติเหตุย่อมเกิดขึ้นได้จากเหตุ
ต่างๆ หลายอย่างซึ่งอยู่เบื้องหลัง และสาเหตุต่างๆ เหล่านั้นรวมกันมากเข้าย่อมท าให้เกิด
อุบัติเหตุได้ นอกจากนั้นยังได้เสนอว่าไม่ควรแก้ไขสภาพและการกระท าที่ไม่ปลอดภัย
เท่านั้น จะต้องคิดแก้ไขเบื้องหลังของสิ่งเหล่านั้น นอกจากนั้นยังแสดงให้เห็นว่าสภาพและ
การกระท าเป็นเพียงอาการที่ปรากฏให้เห็นได้จากความบกพร่องของระบบการท างาน แต่
ความบกพร่องหรือสาเหตุที่แท้จริงที่ท าให้เกิดอุบัติเหตุ คือ การบริหารและการจัดการ 
ตัวอย่างเช่น อุบัติเหตุเกิดจากการตกบันไดของอาคารเรียนที่โรงเรียน หากเป็นการ
สอบสวนอุบัติเหตุตามแนวของทฤษฎีโดมิโนก็คือ
การกระท าที่ไม่ปลอดภัย คือ การใช้บันไดที่มีขั้นบันไดช ารุด
สภาพไม่ปลอดภัย คือ บันไดที่มีขั้นช ารุด
ข้อเสนอแนะในการแก้ไข คือ ก าจัดบันไดขั้นช ารุด ไม่น ามาใช้อีก
แต่ถ้าเป็นทฤษฎีมูลเหตุเชิงซ้อน อาจมีการวิเคราะห์สาเหตุของอุบัติเหตุโดยใช้
ค าถามว่า
     1. ท าไมไม่มีการตรวจบันไดที่ช ารุดในขณะที่มีการตรวจปกติ
     2. ท าไมยังปล่อยให้มีการใช้บันใดนี้
     3. คนที่ตกบันไดหรือผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุนั้นรู้หรือไม่ว่าเขาไม่ควรใช้บันไดนี้
     4. มีการจัดการอบรมเรื่องความปลอดภัยหรือไม่
     5. ผู้เกี่ยวข้องยังคงไม่ใช้บันไดนั้นอีกหรือไม่
     6. ผู้ควบคุมดูแลการท างานได้มีการตรวจสภาพแวดล้อมก่อนลงมือท างานหรือไม่
     เมื่อได้มีการพิจารณาอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นท าให้ทราบถึงความบกพร่องต่างๆ ที่ท าให้
     เป็นสาเหตุของอุบัติเหตุนั้น แล้วควรสรุปว่าควรแก้ไขดังนี้
     1. ควรปรับปรุงการตรวจความปลอดภัย
     2. ควรปรับปรุงการฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงาน
     3. ควรก าหนดงานความรับผิดชอบให้ชัดเจน
     4. ควรมีการวางแผน การนิเทศ การควบคุมการท างาน
     โดยสรุปทฤษฎมีลู เหตุเชงิซอ้ นนนั้ เน้นการป้องกนัอุบตัเิหตุโดยการบรหิารจดัการ
     โดยจัดให้มีองค์กรความปลอดภัย

สาเหตขุ องการเกิดอบุ ตัิเหตุจากการท างาน
อุบัติเหตุจากการท างานนั้นสามารถแบ่งออกเป็น 2 สาเหตุใหญ่ๆ คือ
     1. สาเหตุจากการปฏิบัติงานที่ไม่ปลอดภัย (Unsafe act) เป็นการกระท าที่ไม่
     ปลอดภัยของคนงานในขณะปฏิบัติงานเป็นผลท าให้เกิดอุบัติเหตุได้ถึงร้อยละ 88 ของ
      อุบัติเหตุ เช่น
     1.1 การใช้อุปกรณ์เครื่องมือที่เป็นเครื่องจักรกลต่างๆ โดยพลการหรือไม่
     ได้รับมอบหมาย
     1.2 การท างานที่มีอัตราเร่งความเร็วของงานและเครื่องจักรเกินก าหนด
     1.3 การถอดอุปกรณ์ป้องกนัออกจากเครอ่ืงจกัรโดยไมม่ เีหตุอนัสมควร
     1.4 การดูแลซ่อมบ ารุงอุปกรณ์เครื่องจักรในขณะที่ก าลังท างาน
     1.5 การใช้เครื่องมืออุปกรณ์เครื่องจักรที่ช ารุดและไม่ถูกวิธี
     1.6 ไม่ใส่ใจในค าแนะน าหรือค าเตือนความปลอดภัย
     1.7 ท าการเคลื่อนย้ายหรือยกวัสดุที่มีขนาดใหญ่ มีน ้าหนักมาก ด้วยท่าทาง
     หรือวิธีการที่ไม่ปลอดภัย
     1.8 ไมส่ วมใสอ่ ุปกรณ์ป้องกนัอนัตรายสว่ นบุคคล
     1.9 การคึกคะนองหรือเล่นตลกขณะท างาน

2. สภาพการท างานที่ไม่ปลอดภัย คือสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยโดยรอบตัว
ของผู้ปฏิบัติงานขณะท างานซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุได้ เช่น
      2.1 เครอ่ืงจกัรทไ่ีมม่ อีุปกรณ์ป้องกนัอนัตราย
      2.2 อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องจักรที่ออกแบบไม่เหมาะสมกับการใช้งาน
      2.3 บริเวณพื้นที่ของการปฏิบัติงานไม่เหมาะสม
      2.4 การจัดเก็บวัสดุสิ่งของอย่างไม่ถูกวิธี
      2.5 การจัดเก็บสารเคมีหรือสารไวไฟที่เป็นอันตรายไม่ถูกวิธี
      2.6 ไม่มีการจัดระเบียบและดูแลความสะดวกของสถานที่ท างานให้ถูกต้อง
      ตามสุขลักษณะ
      2.7 แสงสว่างไม่เพียงพอ
      2.8 ไม่มีระบบระบายและถ่ายเทอากาศที่เหมาะสม
      2.9 ไม่มีระบบเตือนภัยที่เหมาะสม
สาเหตขุ องการเกิดอบุ ตัิเหตุ

   แนวทางการป้ องกันการประสบอันตราย
สถานประกอบการที่มีผู้ปฏิบัติงานทุกแห่ง จ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ความคุ้มครอง
ดูแล ส่งเสริมให้บุคลากรทุกคนมีจิตส านึกในความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยเพื่อให้
สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีความสุขอยู่ในสังคมและสิ่งแวดล้อมร่วมกันได้อย่างสันติ 
โดยปราศจากอันตรายใดๆ โดยการก าหนดมาตรการป้องกันและควบคุมอันตรายท่ี
เหมาะสมชัดเจนดังต่อไปนี้คือ
1. การก าหนดมาตรการความปลอดภัย โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการท างาน
ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวข้องและผลกระทบต่างๆ ด้านความปลอดภัย เพื่อเป็นแนวทาง
ก าหนดมาตรฐานด้านความปลอดภัย เพื่อเป็นแนวทางส าหรับผู้เกี่ยวข้องในการก าหนด
ระเบียบปฏิบัติด้านความปลอดภัยของหน่วยงานอย่างชัดเจนเหมาะสม เช่น มาตรฐานใน
การผลิตอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ส าหรับงานอุตสาหกรรม การก าหนดหลักการปฏิบัติ
2. การตรวจความปลอดภัย โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจัดให้มีเจ้าหน้าที่เพื่อท า
การตรวจด้านความปลอดภัยในการท างานตามที่ระบุไว้ตามกฎหมายอย่างเหมาะสม
ถูกต้อง เพื่อเป็นกฎข้อบังคับให้กับนายจ้าง สถานประกอบการให้ยึดปฏิบัติตามกฎหมาย
ความปลอดภัยและรับผิดชอบต่อสุขภาพและความปลอดภัยของคนงาน และให้ค าแนะน า
กระตุ้นการปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยอย่างสม ่าเสมอ
3. กฎหมายความปลอดภัย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรมแรงงาน 
ควรได้มีการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายด้านความปลอดภัยในการท างานให้มีขอบเขต
สอดคล้องเหมาะสมและคุ้มครองแรงงานได้อย่างเหมาะสมและมีการบังคับใช้อย่างจริงจัง 
ทั้งทางด้านสภาพการท างานและสภาพแวดล้อมในการท างานของสถานประกอบการ 
ด้านค่าตอบแทน การรักษาพยาบาล การตรวจสุขภาพ สวัสดิการต่างๆ เพื่อให้เกิดความ
ปลอดภัยในการท างานมากยิ่งขึ้น
4. การศึกษาวิจัยความปลอดภัย เพื่อการปรับปรุง พัฒนา งานวิชาการด้านความ
ปลอดภัยให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานอย่างปลอดภัยสูงสุด
5. ด้านการศึกษา สถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในการท างาน 
ควรมีการบรรจุวิชาการด้านความปลอดภัยเพิ่มในหลักสูตรการศึกษา เพื่อเป็นการวาง
พื้นฐานและสร้างทัศนคติที่ดีด้านความปลอดภัยให้เกิดมีขึ้นในผู้ศึกษาก่อนที่จะออกไปสู่
ตลาดแรงงาน
6. การฝึกอบรมด้านความปลอดภัย เพื่อสร้างเสริมความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง
ดา้นความปลอดภยัในการป้องกนัอนั ตรายทอ่ีาจเกดิ ขน้ึระหว่างการปฏบิ ตังิาน พรอ้ มทงั้
สร้างจิตส านึกด้านความปลอดภัยให้เกิดมีขึ้นกับผู้ใช้แรงงานทุกคนทุกระดับ
7. การสร้างเสริมทัศนคติด้านความปลอดภัย ทุกองค์กรหน่วยงานควรจัดให้มีการ
รณรงค์ การสร้างเสริมทัศนคติที่ดี และจิตส านึกด้านความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง
สม ่าเสมอ
8. การก าหนดมาตรการความปลอดภัยในสถานประกอบการ เพื่อให้ทุกคนทุก
ฝ่ายปฏิบัติอย่างเคร่งครดั โดยมีการแต่งตัง้เจ้าหน้าท่ีหรือคณะกรรมการด้านความ
ปลอดภัยในการก าหนดกฎ ระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์การ
ท างานอย่างต่อเนื่อง
9. การปรับปรุงสภาพการท างานและสิ่งแวดล้อมในการท างาน สถานประกอบการ
ควรมีการด าเนินการอย่างจริงจังเกี่ยวกับการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการท างาน เพื่อให้
เกิดความปลอดภัย เพื่อด ารงรักษาไว้ซึ่งการมีสุขภาพอนามัยที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 
เช่น การจัดระเบียบการท างานให้ถูกสุขลักษณะมีความปลอดภัยและสวัสดิการที่ดีขึ้น
10. การประกันการประสบอุบัติเหตุ หน่วยงานหรือสถาบันด้านการประกันการ
ประสบอันตรายควรมีส่วนร่วมในการส่งเสรมิ มาตรการการป้องกนัอุบตัเิหตุและโรคจาก
การท างานและเป็นการปฏิบัติอย่างจริงจัง

ขอบคุณข้อมูล  อ้างอิงจาก